Tadao
Ando เป็นสถาปนิกชาวญี่ปุ่น
โดยผลงานของอันโดจะใช้คอนกรีตหล่อในที่โดยส่วนใหญ่
แนวความคิดในการออกแบบของอันโดจะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติโดยใช้ระบบสัญลักษณ์ เช่น
การให้แสงเป็นตัวแทนของธรรมชาติ
จะสังเกตได้ว่างานส่วนใหญ่ของอันโดจะไม่มีหน้าต่างที่เปิดให้เห็นทวทัศน์นอกอาคาร
แต่มักมีช่องเปิดที่แสงแดดสามารถส่องผ่านได้
แต่ไม่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมได้
ชีวิตในวัยเด็กอันโดได้ทำงานหลายอย่าง
เช่นเป็นคนขับรถบรรทุกและนักมวยเพื่อสะสมเงินเพื่อจะเป็นสถาปนิก
ซึ่งถือได้ว่าอันโดเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆของญี่ปุ่นและของโลก
แต่ทว่าทะดะโอกลับไม่เคยผ่านการศึกษาทางด้านสถาปัตยกรรมมาก่อนเลย
ความรู้ส่วนใหญ่ได้มาจากการอ่านหนังสือและค้นคว้าด้วยตัวเองทั้งสิ้น
Tadao Ando
(รูปภาพจาก http://www.thegroundmag.com/wp-content/
uploads/Tadao-Ando-The-GROUND-01.jpg)
ธรรมชาติ-สถาปัตยกรรม
ในประเด็นที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสถาปัตยกรรมกับธรรมชาตินั้น
ธรรมชาติในความเห็นของอันโดค่อนข้างจะต่างกับความหมายโดยทั่วๆ
ไป (
ของคนทั่วไปหรือของสถาปนิกคนอื่นๆ)
อยู่มากพอสมควร โดยพื้นฐานที่สถาปนิกมีชีวิตอยู่ในเมืองอันตกอยู่ในสภาพเสียหายอย่างหนักจากผลของสงครามโลกครั้งที่
2
อย่างโอซาก้า
อันโดเห็นว่าความพยายามที่จะฟื้นฟูประเทศอย่างเร่งรีบทำให้คนต้องเข้ามากระจุกตัวทำงานในเมือง
ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องปกติสำหรับสังคม
อุตสาหกรรมทั่วไป
แต่ในญี่ปุ่นสถานะการณ์นี้ทำให้โครงสร้างแบบที่เป็นอยู่ต้องสูญสลายไปเป็นจำนวนมาก
ซึ่งโครงสร้างสังคมที่ว่านี้ก็คือโครงสร้างแบบกสิกรรมหรือการประมงซึ่งเป็นหัวใจพื้นฐานสำหรับชาวญี่ปุ่นมาก่อน
มองในแง่นี้
เมืองในฐานะแหล่งรวมที่อยู่อาศัยและเป็นตัวเชื่อมระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่อันโดพยายามจะหลีกเลี่ยง
งานสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะบ้านจึงต้องถูกตีความให้เป็นพื้นที่เพื่อปิดตัวเองออกจากสภาพอันสับสนวุ่นวาย
(chaos)
การนำกลับมาของต้นไม้ในเมืองหรือในบ้านก็คือการพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในระดับของความหมายหรือสัญลักษณ์
แม้ว่าสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของบางเมืองในญี่ปุ่นหรือในยุโรปจะมีสภาพคล้ายป่าตามธรรมชาติ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพียงป่าที่มนุษย์สร้างขึ้น
และเป็นเพียงในระดับสัญลักษณ์ของธรรมชาติเท่านั้นที่มนุษย์เสพ
มันเป็นคนละเรื่องกับการให้ความหมายของการอยู่ร่วมกับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติจริงๆ
ยิ่งเมื่อมองในระดับของการปลูกต้นไม้ในบ้านยิ่งแล้วใหญ่
ต้นไม้จริงๆที่ลงดิน
ต้นไม้ในกระถาง ดอกไม้ในแจกัน
ต้นไม้เทียม ดอกไม้เทียม
มันเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติ
ที่นอกจากจะไม่ได้ยืนยันว่ามนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติแล้ว
ธรรมชาติจอมปลอมเหล่านี้ยังตอกย้ำว่ามนุษย์ไม่ได้อยู่ในธรรมชาติ
หากแต่อยู่ห่างจากธรรมชาติในระยะที่ห่างไกลจนไม่สามารถเอื้อมถึงได้
ในความเห็นของอันโด
ความหมายของธรรมชาติในลักษณะนี้จึงเป็นความหมายที่ถูกทำให้เสียไป
(spoilt)
โลกส่วนตัวที่สร้างขึ้นจึงควรที่จะปิดตัวเองออกจากความหมายเหล่านี้
เพื่อเปิดรับธรรมชาติในด้านที่บริสุทธิ์มากกว่า
ธรรมชาติ-วัฒนธรรม
วิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นนั้นเป็นที่น่าสนใจสำหรับสายตาของชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวตะวันตก
เนื่องด้วยวิธีการมองโลกและอยู่ร่วมที่แตกต่าง
ในขณะที่สถาปัตยกรรมตะวันตกเน้นที่การปกป้องมนุษย์ออกจาก
สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่ทารุณ
สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นกลับใคร่ครวญที่จะยอมรับและเสพสิ่งที่เกิดขึ้นในแง่ความรู้สึกพื้นฐานเช่นความร้อน
ความหนาว ความเปลี่ยนแปลงรูปแบบต่างๆ
แล้วนำมาปรุงแต่งให้กลายเป็นความรู้สึกแห่งความงดงามและความเข้าใจธรรมชาติในแง่มุมของตนเอง
การเปิดตัวสถาปัตยกรรมออกสู่ธรรมชาติที่ไม่ถูกทำให้เสียความหมายไปด้วยการตั้งคำถามในระดับของวัฒนธรรมนี้เองที่อันโดใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างสถาปัตยกรรม
ยกตัวอย่างงานชิ้นแรกๆเช่นเรือนแถวที่สึมิโยชิ
(
Row house at Sumiyoshi-Azuma House)
ตัวอาคารของเรือนแถวนี้วางตัวแทรกอยู่ในแนวของเรือนแถวขนาดเล็กแบบดั้งเดิม
ขนาดของอาคารไม่ใหญ่เกินอาคารเก่าโดยรอบ
แต่ที่แปลกตาและโดดเด่นก็คือรูปด้านหน้าของอาคารที่เป็นคอนกรีตปิดทึบ
ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนบน-ล่างแสดงถึงการแบ่งพื้นที่ภายในออกเป็นสองชั้น
ส่วนของชั้นล่างเปิดเป็นประตูทางเข้าซึ่งเป็นทางเชื่อมต่อเพียงหนึ่งเดียวกับโลกภายนอก
โดยนัยที่ว่าทางเข้านี้จริงๆแล้วเป็นการปิดตัวจากโลกภายนอก
(เมืองอันสับสน)
มากกว่าที่จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างภายนอก-ภายใน
Row
house at Sumiyoshi-Azuma House
(รูปภาพจาก
https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x
/ec/ce/64/ecce64e250d1600e3e33b38e02d52218.jpg)
รูปด้านของ Row
house at Sumiyoshi-Azuma House
(รูปภาพจาก https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/
736x/fa/fe/bb/fafebba50518b70cf7a72787757e5fc2.jpg)
ธรรมชาติ-วัฒนธรรม-องค์ประกอบ
ในสภาพพื้นที่ภายในของเรือนแถวสึมิโยชินี้แสงที่ได้รับจากคอร์ตกลางจึงส่องผ่านเข้ามาเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวบอกเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปในพื้นที่
เช่นเดียวกับงานอื่นๆ
เช่นบ้านโคชิโนะ (
Koshino House ) วิหารบนภูเขาโรคโคะ
(
Chapel on Mt. Rokko ) และวิหารแห่งแสง
(Church
of the
Light) ดังนั้นผนังคอนกรีตของอันโดจึงทำหน้าที่เป็นฉากเพื่อรับแสงมากกว่าที่จะแสดงออกในลักษณะขององค์ประกอบพื้นฐานของผนังหรือการเป็นโครงสร้าง
ในช่วงเวลาต้นศตวรรษที่
20
ที่สถาปนิกผู้นี้ทำงานอยู่
คอนกรีตผสมเป็นวัสดุสำหรับการก่อสร้างอาคารที่ค่อนข้างใหม่และน่าตื่นตาตื่นใจ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวัสดุชนิดนี้มีความหมายของการผลิตตามระบบอุตสาหกรรมติดอยู่
ซึ่งระบบการผลิตที่ว่านี้ก็มีความหมายของคุณภาพสำหรับคนหมู่มากติดอยู่อีกมิติหนึ่ง
สำหรับสถาปนิกอย่าง เลอ
คอร์บูซิเอร์
ซึ่งพยายามเอาชนะความต่างของมนุษย์ด้วยวิธีต่างๆ
นั้น คอนกรีตย่อมเป็นวัสดุที่สามารถแสดงออกได้ดีที่สุด
ดังนั้นการใช้คอนกรีตของสถาปนิก
สวิส-ฝรั่งเศสผู้นี้จึงต้องพยายามให้คอนกรีตแสดงตัวออกมาได้มากที่สุด
รูปทรงที่มีคุณลักษณะทางประติมากรรมจึงจำเป็นต้องถูกเลือกขึ้นมารองรับ
Koshino
House
(รูปภาพจาก http://rubens.anu.edu.au/htdocs/
laserdisk/0236/23671.JPG)
Chapel
on Mt. Rokko
(รูปภาพจาก https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/
63/ac/21/63ac215a54631be727d9ec6835a014f1.jpg)
Church
of the Light
(รูปภาพจาก http://c1038.r38.cf3.rackcdn.com/group1
/building2976/media/media_70925.jpg)
อันโดได้กระตุ้นให้เราฉุกคิดขึ้นมาว่า ความหมายของสถาปัตยกรรมคงจะไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว การตั้งคำถามบนพื้นฐาน วัฒนธรรมของตนเอง ( แน่นอนว่าแตกต่างกับวิถีแห่งตะวันตกหรือวิถีแห่งโลกาภิวัตน์ที่ครอบงำโลกใบนี้อยู่) อาจจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะนำมาซึ่งคำตอบที่น่าพึงพอใจสำหรับวิถีชีวิตในแต่ละวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมในทัศนะของอันโดจึงเป็นเรื่องของความหมายที่มนุษย์สร้างโลกของตัวเองขึ้นมาสัมพันธ์กับโลกธรรมชาติ แต่โลกธรรมชาตินั้นต้องสัมพันธ์กับวิถีแห่งวัฒนธรรมอย่างแน่นแฟ้นเพื่อให้สถาปัตยกรรมดำรงความหมายที่สัมพันธ์กับวิถีชิวิตอย่างหลากหลายและลึกซึ้งที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก ชัยยศ
อิษฎ์วรพันธุ์.
"ทาดาโอะ
อันโด สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม
ธรรมชาติและความหมาย."
,
ธรรมชาติ
ที่ว่าง และสถานที่.
โฟคัลอิมเมจ
พริ้นติ้ง กรุ๊ป ,
เมษายน
2543,
หน้า
111-126.
วิกิพีเดีย และ ที่นี่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น